น้ำข้าวกล้องงอก ทำทานเองได้ไม่ยาก มีวิธีดังนี้ 1.ต้องนำข้าวกล้องไปแช่น้ำราว 48-72 ชั่วโมงหรือ2-3วันในหม้อแช่ โดยมีการควบคุมอุณหภูมิการไหลเวียนน้ำ ความดัน และความเป็นกรดด่างของน้ำ เพื่อให้ความชื้นจากน้ำไปกระตุ้นให้เมล็ดข้าวงอกและเปลี่ยนกรดกลูตามิกไปเป็นสารกาบาอันเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ต่อมา เมื่อได้ข้าวกล้องงอกในขั้นตอนนี้แล้วก็ต้องทำให้ข้าวกล้องงอกหยุดการงอกต่อไป 2.อบแห้งให้มีความชื้นต่ำกว่า 14% ในหม้ออบแห้ง จากนั้นจึงบรรจุลงในถุงสุญญากาศ ทั้งนี้ ข้าวกล้อง ที่สามารถนำมาแช่น้ำให้เกิดการงอกได้ดีนั้นจะต้องเป็นข้าวกล้องที่ผ่านการกะเทาะเปลือกมาไม่ เกิน 2 สัปดาห์ 3.เมื่อได้ข้าวกล้องงอกเรียบร้อยแล้ว หากใครอยากจะทำ “น้ำข้าวกล้อง งอก” ก็ไม่ยาก นำไปแช่น้ำทิ้งไว้ 3-5 ชั่วโมง ให้ข้าวกล้องงอกเป็นตุ่มเล็ก ๆ บริเวณจมูกข้าว ก็นำไป 4.หุงต้มจนเดือดพล่าน จากนั้นก็ใช้ผ้าขาวบางหรือตะแกรงกรองน้ำข้าวมารับประทานได้ทันที ปรุงรสตามชอบ เท่านี้ก็ได้สูตรทำ น้ำข้าวกล้องงอก ไว้ทานกันแล้วครับ ที่มาที่ไปของน้ำข้าวกล้องงอกมาจาก นายประเสริฐ โกศัล วิตร อธิบดีกรมการข้าว กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ออกมาเปิดเผยถึงผลวิจัยสารอาหารที่มีประโยชน์ในพันธุ์ข้าวไทยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้จดลิขสิทธิ์ไว้ถึง 81 สายพันธุ์ จากพันธุ์ข้าวพื้นเมืองทั่วประเทศกว่า13,000 ชนิด รวมทั้งศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี ได้วิจัย “น้ำข้าวกล้อง งอก” ผลิตภัณฑ์ที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ พร้อมนำน้ำข้าวกล้องงอกขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งพระองค์ท่านทรงมีรับสั่งให้นำทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยทรงให้ทำถวายขึ้นโต๊ะเสวยที่วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทุก 3 วัน เรามีของดีอยู่ในข้าวของเรา เพียงเราใส่ใจสักนิดเราก็จะได้ของดีราคาประหยัดไว้ทานครับ น้ำข้าวกล้องงอกของเราคนไทย
ข้าวกล้องงอก คุณค่าจากข้าวที่ใหญ่กว่าเมล็ดเล็กๆ
ประโยชน์ของ คอลลาเจน
คอลลาเจน มีส่วนช่วยในการป้องกันอวัยวะในร่างกาย และเชื่อมอวัยวะต่างๆ ให้อยู่ด้วยกัน ช่วยให้โครงสร้างของร่างกายแข็งแรง และยืดหยุ่นดี ช่วยให้ข้อต่อต่างๆ ขยับเคลื่อนไหวไปมาไม่ติดขัด โดยเฉพาะข้อต่อในการรับน้ำหนักและขยับเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆ เช่นเดินหรือวิ่ง เป็นต้น นอกจากนี้ คอลลาเจน ยังเป็นตัวช่วยให้ผิวพรรณเกิดความชุ่มชื้น เสริมความเรียบตึงให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวดูเรียบเนียนกระชับ โดยทำงานคู่กับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อ “ อิลาสติน ” ( Elastin ) ในขณะที่ คอลลาเจน มีหน้าที่เสมือนโครงร่างผิว อีลาสติน ก็ทำหน้าที่ให้ความยืดหยุ่นแก่ผิว ควบคู่กันไปด้วย โดยพบว่าคนที่มีอายุ 25 ขึ้นไป จะมีปริมาณ คอลลาเจน ลดลงทุกปี ปีละ 1.5% อย่างไรก็ตาม เราสามารถเสริมสร้าง คอลลาเจน ให้ร่างกายได้ ด้วยการฉีด คอลลาเจน เข้าใต้ชั้นผิวหนังแท้ และอีกวิธีที่ง่ายและสะดวกคือ การรับประทาน คอลลาเจน เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของชั้นผิวหนังและเพื่อเสริมให้กระดูกแข็งแรง ควรรับประทาน คอลลาเจน และ แคลเซียม เสริมจะช่วยป้องกันภาวะ กระดูกพรุน ได้ *การทานคอลลาเจน คู่กับวิตามินซีช่วยให้คอลลาเจนทำงานได้ดีขึ้น ประโยชน์ของ คอลลาเจน
ร่างกายของคนเรานั้นจะมี คอลลาเจน หนาแน่นในวัยเด็ก และจะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา จึงเห็นได้ว่าเมื่ออายุมากขึ้น เส้นใยคอลลาเจน เหล่านนี้จะเสื่อมสลาย ทำให้ชั้นผิวหนังยุบตัวลงอันเป็นสาเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอย รวมถึงการเกิด ปัญหาข้อเสื่อม กระดูกเสื่อม อันเนื่องมาจาก คอลลาเจน ใน กระดูก ลดลง ทำให้ กระดูก ไม่สามารถรับน้ำหนักได้ ขาดความยืดหยุ่น เปราะหักง่าย เป็นต้น
สรุปคอลลาเจนจะมีส่วนช่วยในเรื่อง
- ช่วยให้ผิวพรรณเกิดความชุ่มชื้น
- ช่วยเสริมความเรียบตึงให้กับผิวหนัง
- ช่วยทำให้ผิวดูเรียบเนียนกระชับ
- ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของชั้นผิวหนังและเสริมให้กระดูกแข็งแรง
ห่างไกล โรคร้าย ด้วยวิตามินและเกลือแร่
ห่างไกล โรคร้าย ด้วยวิตามินและเกลือแร่ การขาดสารอาหารกลุ่มวิตามินและเกลือแร่ จนก่อให้เกิดโรค เช่น โรคเลือดออกตามไรฟัน (ขาดวิตามินซี) โรคตาฝ้าฟางในเวลากลางคืน (ได้รับวิตามินเอไม่เพียงพอ) หรือโรคคอหอยพอก (ขาดธาตุไอโอดีน) คงเป็นโรคที่เราพบได้ไม่บ่อยนัก นั่นเป็นเพราะการดูแลเอาใจใส่เรื่องสุขภาพโดยเฉพาะเรื่องของโภชนาการที่ดีมากขึ้น อย่างไรก็ตามกลับพบว่า 30-50% ของประชากรอยู่ในภาวะขาดวิตามินและเกลือแร่ในระดับต่ำ ๆ หรือขาดไปเพียงเล็กน้อย (Suboptimal level) ซึ่งการขาดในลักษณะนี้ร่างกายจะไม่แสดงความผิดปกติออกมาให้เห็นเป็นโรคอย่างชัดเจนทันทีทันใด แต่อาจมีผลบั่นทอนต่อสุขภาพ อาหารเสื่อมที่เกิดขึ้นจะค่อยเป็นค่อยไปเริ่มรู้สึกอ่อนเพลียไม่สดชื่น และเกิดโรคแห่งความเสื่อม หรือโรคเรื้อรังตามมา สาเหตุของการขาดวิตามินและเกลือแร่ 1. การขาดความรู้และความเข้าใจในการได้รับสารอาหารที่จำเป็นในวัยต่าง ในแต่ละวัยมีความต้องการในสารอาหารพื้นฐานต่างกัน ดังนั้นการคำนึงถึงโภชนาการที่เหมาะสม เพื่อการเจริญเติบโตหรือเพื่อซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จะช่วยลดการขาดวิตามินและแร่ธาตุได้ เด็กและวัยรุ่นเป็นช่วงที่ต้องการสารอาหารหลัก รวมทั้งวิตามิน และเกลือแร่อย่างครบถ้วนเพียงพอ เพื่อการเจริญเติบโตสตรีตั้งครรภ์ต้องการสารอาหารบางชนิดเสริมเป็นพิเศษ เช่น กรดโฟลิค ธาตุเหล็ก แคลเซียม สำหรับผู้สูงอายุถึงแม้ต้องการพลังงานจากอาหารหลักลดลง แต่จำเป็นต้องได้รับวิตามินและแร่ธาตุเพิ่มขึ้น เพื่อไปซ่อมแซมและใช้ในกระบวนต่าง ๆ ของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่จำเป็น 2. ภาวะเจ็บป่วยต่างๆ ทำให้ไม่สามารถทานอาหารได้อย่างครบถ้วน 3. การดำเนินชีวิตที่เร่งรีบ ส่งผลถึงพฤติกรรมการบริโภค เช่น งดอาหารเช้า ซึ่งเป็นมื้อสำคัญที่สุด การทานอาหารจานด่วนที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ หรือแม้แต่การทานอาหารนอกบ้าน ไม่ได้ทำอาหารรับประทานเอง ซึ่งอาจจะไม่ได้รับสารอาหารครบถ้วนเมื่อเทียบกับอาหารที่ปรุงสดใหม่ 4. ค่านิยมในการควบคุมน้ำหนัก ต้องการผอม จึงจำกัดอาหารบางประเภท เช่น งดอาหารมัน แป้ง อาจทำให้ขาดวิตามินที่ละลายในไขมันได้ 5. การเตรียมและปรุงอาหารที่ไม่ถูกวิธี ทำให้สูญเสียวิตามินไประหว่างประกอบอาหาร เช่น การปิ้งหรือการทอดทำให้สูญเสียวิตามินอี ถึง 50% ผลการขาดวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญบางชนิดในแต่ละวันอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือด โรคมะเร็ง และโรคกระดูกพรุนได้ ฉะนั้นการเสริมด้วยวิตามินและเกลือแร่รวมสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังบางประเภทได้ ทำอย่างไรจึงจำได้รับวิตามินที่เพียงพอ วารสารทางการแพทย์ชั้นนำ Journal of American Medical Association (JAMA) หรือ จาม่าแนะนำว่าผู้ใหญ่ทุกคนควรรับประทานวิตามินรวมวันละ 1 เม็ด เนื่องจากเป็นที่ทราบแน่ชัดแล้วว่าสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคกระดูกพรุนได้ คำแนะนำจาก Council for Responsible Nutrition (CRN) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยสารอาหาร ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าควรเริ่มต้นได้รับวิตามินและ แร่ธาตุร่วมซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญอย่างเพียงพอก่อน หลังจากนั้นจึงอาจเสริมด้วยแคลเซียมหรือสารอาหารเสริมพิเศษอื่นๆ ตามความจำเป็นของร่างกาย โดยสรุปแนวทางของการมีสุขภาพดีนั้น ควรเริ่มจากการได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายโดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สมดุล ถูกสัดส่วน หรือเสริมด้วยวิตามินและแร่ธาตุรวม รวมถึงออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ก็ทำให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรงห่างจากโรคภัยได้ไม่ยาก
มะรุม พืชมหัศจรรย์
มะรุม พืชมหัศจรรย์ "มะรุม" เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ กินได้หลายส่วน ทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆ ก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทางอีสานเรียก “ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม” ภาคเหนือเรียก “มะค้อมก้อน” ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียก “กาแน้งเดิง” ส่วนชานฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียก “ผักเนื้อไก่” มะรุมมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย มะรุมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 3-4 เมตร ทรงต้นโปร่ง ใบเป็นแบบขนนกคล้ายกับใยมะขามออกเรียงแบบสลับ ผิวใบด้านล่างสีอ่อนกว่าด้านบน ดอกออกเป็นช่อสีขาว ดอกมี 5 กลีบ ฝักมีความยาว 20-50 เซนติเมตร ลักษณะเหมือนไม้ตีกลอง เป็นที่มาของชื่อต้นไม้ตีกลองในภาษาอังกฤษ (Drumstick Tree) เปลือกฝักอ่อนสีเขียว มีส่วนคอดและส่วนมนเป็นระยะตามความยาวของฝัก เปลือกฝักแก่มีสีน้ำตาล เมล็ดมีเยื่อหุ้มลักษณะกลมมีสีน้ำตาล เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ซ.ม. มะรุมเป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง ขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ดและการปักชำ การปลูกการดูแลรักษาก็ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน เกษตรกรจึงมักนิยมปลูกมะรุมไว้ริมรั้วบ้านหรือหลังบ้าน 1-5 ต้น เพื่อให้เป็นผักคู่บ้านคู่ครัวแบบพอเพียงที่ไม่ต้องซื้อหา คนไทยทุกภาคนิยมนำฝักมะรุมไปทำแกงส้ม ด้วยการปอกเปลือกหั่นฝักมะรุมเป็นชิ้นยาวพอคำ ถือว่าเป็นผักที่ทำแกงส้มคู่กับปลาช่อนอร่อยที่สุด จะต่างกันก็ในรายละเอียดตามแบบอย่างของแต่ละท้องถิ่นเท่านั้น แม้แต่ทางใต้ก็นิยมนำมะรุมมาทำแกงส้มปลาช่อน โดยจะใช้ขมิ้นเพื่อดับกลิ่นคาวปลา และเพิ่มสีสันของน้ำแกง ปรุงรสเปรี้ยวด้วยการใส่ส้มแขกแทนน้ำมะขาม และหั่นปลาช่อนเป็นแว่นใหญ่ไม่โขลกเนื้อปลากับเครื่องแกง ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาวเพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้ทให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้ ส่วนอื่นๆ ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่อง “ผงนัว” กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ วิตามินเอบำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า วิตามินซีช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม แคลเซียมบำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด โพแทสเซียมบำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย ใยอาหารและพลังงานไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุมมีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก “มาลังเก”) เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย ใบมะรุม 100 กรัม พบว่าทั้งกลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอรอลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง ชะลอความแก่ กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์ สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย ฆ่าจุลินทรีย์ สานเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว การป้องกันมะเร็ง สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลองโดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวัน ฤทธิ์ป้องกันตับ งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสียหายโดยยาไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤืธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรสอะลานีนทรานมิโนทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทสและบิลิรูบินในเลือด ผลิตภัณฑ์มะรุมของต่างประเทศจะอ้างฤทธิ์รักษามากมายทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เปลือกจากลำต้น มีรสร้อน นำมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ผ้าห่อทำเป็นลูกประคบนึ่งให้ร้อนนำมาใช้ประคบ แก้โรค ปวดหลัง ปวดตามข้อได้เป็นอย่างดี กระพี้ แก้ไข้สันนิบาดเพื่อลม ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ใช้ต้มทำน้ำชาดื่มช่วยให้นอนหลับสบาย ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้ เมล็ด นำเมล็ดมะรุมมาสกัดน้ำมันสามารถใช้ทำอาหาร รักษาโรคปวดตามข้อ โรคเก๊า รักษาโรครูมาติซั่ม และรักษาโรคผิวหนัง แก้ผิวแห้ง เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดี การรับประทานเนื้อในเมล็ด เป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้ นอกจากนี้กากของเมล็ดกากที่เหลือจากการทำน้ำมัน สามารถนำมาใช้ในการกรอง หรือทำน้ำให้บริสุทธิ์เป็นน้ำดื่มได้ แพทย์ตามชนบท ใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย จากประสบการณ์ เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดี ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก การรับประทานเนื้อในเมล็ด และใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้ ข้อควรระวัง ในคนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทาน ประโยชน์ของมะรุม น้ำมันมะรุม
เมล็ดแก่สามารถบีบน้ำมันออกมากินได้
คุณค่าทางอาหารของมะรุม
(คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)
- พลังงาน 26 แคลอรี
- โปรตีน 6.7 กรัม (2 เท่าของนม)
- ไขมัน 0.1 กรัม
- ใยอาหาร 4.8 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม
- วิตามินเอ 6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)
- วิตามินซี 220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)
- แคโรทีน 110 ไมโครกรัม
- แคลเซียม 440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
- ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม
- เหล็ก 0.18 มิลลิกรัม
- แมกนีเซียม 28 มิลลิกรัม
- โพแทสเซียม 259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)
และ atherogenic index ต่ำลงทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และท่อเลือดแดง (เอออร์ตา)
นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง
และให้อาหารไขมันมาก
และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตัวจากยาเหล่านี้
แค่ฤทธิ์ที่พิสูจน์ได้นี้ก็คงเพียงพอแล้วที่คุณจะเพิ่มใบหรือฝักมะรุมในรายการอาหารของคุณมื้อกลางวันนี้
ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ราก ฝัก ใบ เนื้อในเมล็ด
สรรพคุณ :
ราก มีรสเผ็ด หวาน ขม แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ
รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก)
แพทย์ตามชนบท จะใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมา
นอกจากนี้ยังมีการค้นพบว่า ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนา
และประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน
ใช้แทนยารักษาผิวให้ชุ่มชื้น รักษาโรคอันเกิดจากเชื้อรา
กากของเมล็ดมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นอย่างยิ่ง และยังสามารถนำมาทำปุ๋ยต่อได้อีกด้วย
1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง
5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอจะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ
11.เป็นยาปฏิชีวนะ
สรรพคุณ..ใช้หยอดจมูกรักษาโรคภูมิแพ้ ไซนัสโรคทางเดินหายใจ ใช้หยอดหูฆ่าและป้องกันพยาธิในหู รักษาอาการเยื่อบุหูอักเสบ รักษาโรคหูน้ำหนวก ใช้ทาผิวหนังรักษาโรคผิวหนังจากเชื้อราและเชื้อไวรัส รักษาโรคเริม งูสวัด รักษาและบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น ใช้ทารักษาแผลสด หูด ตาปลา
ใช้ถูนวดบรรเทาอาการบริเวณที่ปวดบวมตามข้อ รักษาโรคไขข้ออักเสบ เก๊าท์ รูมาติก เป็นต้น
การดีท็อกซ์ด้วยวิธีสวนกาแฟ
ล้างพิษ |
คุณรู้ไหม การกินอาหารผิดๆ อากาศเป็นพิษที่เราหายใจเข้าไป เชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ตลอดจนความเครียด รวมทั้งปฏิกิริยาทางเคมีในร่างกายของเราซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลา ล้วนแต่ทำให้เกิด ท็อกซิน (TOXIN) ขึ้นในตัวเราทั้งนั้น ท็อกซิน (Toxin) คือ พิษ เมื่อท็อกซินสะสมอยู่ในตัวเรามากๆเข้า ก็จะทำลายระบบภูมิชีวิต จนอาจทำให้เราเจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆขึ้นได้ อาการต่างๆ เช่น ลิ้นเป็นฝ้า ตาขุ่น ปากแห้ง จมูกแห้ง ตัวร้อน หน้าตาไม่สดใส ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว คอ หลัง ไหล่ นอนไม่หลับ ฯลฯ คือสัญญาณที่บอกว่า คุณกำลังมีท็อกซินสะสมอยู่มาก ถึงคราวต้องกำจัดท็อกซินเหล่านี้ออกเสียก่อนที่มันจะทำลายสุขภาพของคุณมากไปกว่านี้ วิธีกำจัดท็อกซินเรียกว่า ดีท็อกซิฟิเคชั่น (DETOXIFICATION) หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า “ดีท็อกซ์“ คุณอาจเคยได้ยินว่า “ดีท็อกซ์ คือ การสวนทวาร“ ไม่ใช่ทั้งหมดค่ะ แท้จริงวิธีที่จะดีท็อกซ์หรือกำจัดท็อกซินออกจากร่างกาย มีอยู่ด้วยกัน 5 วิธี
ถ้าคิดจะกำจัดท็อกซินออกจากร่างกาย ควรทำหลายๆวิธีรวมกันค่ะถึงจะสามารถกำจัดพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญเมื่อขับท็อกซินออกไปแล้ว ต้องพยายามควบคุมท็อกซินที่จะเกิดขึ้นใหม่ให้น้อยที่สุด ด้วยการกินอาหารที่ดี (ตามสูตรชีวจิต) และไม่สะสมความเครียดค่ะ สวนทวารล้างพิษคืออะไร การสวนทวาร หรือที่มักเรียกติดปากแบบย่อๆว่า "ดีท็อกซ์" เป็นวิธีกำจัดท็อกซินออกจากร่างกายวิธีหนึ่ง โดยเฉพาะท็อกซินที่คั่งค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ ไม่ใช่ทำเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยของโรค หรือเพื่อแก้อาการท้องผูก แต่อย่างใด การถ่ายอุจจาระออกมาด้วยถือว่าเป็นผลพลอยได้เท่านั้นค่ะ บางคนอาจตั้งข้อสงสัยว่า ฉันถ่ายอุจจาระทุกวันโดยไม่ท้องผูก คงไม่มีท็อกซิน และไม่จำเป็นต้องทำดีท็อกซ์ ความจริงแล้วในลำไส้ของเราจะมีลักษณะเป็นขดซ้อนทับเป็นซอกหลืบ ลักษณะอย่างนี้เองทำให้เกิดการสะสมของของเสียในลำไส้ใหญ่ แม้ถ่ายอุจจาระทุกวันก็ไม่สามารถกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปได้หมด แต่การสวนล้างทวารช่วยได้ค่ะ การทำดีท็อกซ์ต้องใช้น้ำสำหรับสวนเข้าทางทวารหนัก น้ำสำหรับดีท็อกซ์มีหลายสูตร คือ
สูตรน้ำดีท็อกซ์ที่นิยมกันมากที่สุดคือ สูตรน้ำกาแฟ เพราะในกาแฟมี "คาเฟอีน" ที่ช่วยในการกระตุ้นให้ท็อกซินถูกขับมาตามเครือข่ายเส้นเลือดดำ ซึ่งเชื่อมโยงต่อเนื่องตั้งแต่ตับ กระเพาะ ถุงน้ำดี ตับอ่อน ม้าม ลำไส้เล็ก จนถึงลำไส้ใหญ่ หมายเหตุ : ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคไต โรคปอด โรคลมบ้าหมู (ลมชัก) ตกเลือด และ ท้องเสียอย่างรุนแรง ไม่ควรอบสมุนไพร (ซาวน่า) ล้างพิษ วิธีสวนทวารล้างพิษ
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการทำดีท็อกซ์ หลังทำดีท็อกซ์ด้วยการสวนทวาร คุณจะรู้สึกโล่งโปร่งเบาสบายตัว แต่หากคุณมีอาการในทางตรงข้าม แสดงว่าร่างกายอาจไม่เหมาะกับการดีท็อกซ์วิธีนี้ หรือถ้าปริมาณน้ำที่เข้าไม่สมดุลกับปริมาณน้ำที่ออก คือออกน้อยกว่าเข้ามากควรทำซ้ำในวันถัดไป เนื่องจากน้ำถูกดูดซึมไปอยู่ในอุจจาระหมดเนื่องจากอุจจาระแข็งมากและรับน้ำเหล่านั้นไว้และไม่ยอมออกมา สำหรับคุณๆที่ประสบความสำเร็จอย่างดีในการทำดีท็อกซ์ ขอแนะนำให้ทำต่อเนื่องสัก 3 หรือ 5 วัน (วันละครั้ง) เพื่อล้างพิษออกให้หมด หลังจากนั้นอาจทำเมื่อมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเป็นไข้ ปวดเมื่อยตามตัวตามข้อ ลิ้นเป็นฝ้า ก็สามารถสวนทวารล้างพิษได้อีก อย่างไรก็ตาม ไม่ควรทำดีท็อกซ์บ่อยเกินไป ประเภทว่าทำทุกวัน หรือทุกสัปดาห์ เพราะจะทำให้แบคทีเรียที่ดีในลำไส้ใหญ่ของเราพลอยถูกทำลายด้วย แถมยังอาจมีผลให้ระบบขับถ่ายผิดปกติไป เวลาที่เหมาะสมในการทำดีท็อกซ์คือ ตอนเช้าหลังจากเข้าห้องน้ำถ่ายเรียบร้อยแล้ว ก่อน อาหารเช้า จะทำให้กลั้นได้ดีและล้างลำไส้ได้สะอาด สบายตัว หากไม่สะดวกอาจทำช่วงสายหรือบ่ายหลังจากกินอาหารไปแล้ว 2 ชั่วโมง ไม่แนะนำให้ทำก่อนนอน เพราะจะทำให้ตื่นขึ้นมาหิวเวลากลางคืน และทำให้นอนไม่หลับ ข้อควรระวัง :
|
ปฏิบัติการพิชิตน้ำหนักใน... 8 สัปดาห์ อ
ปฏิบัติการพิชิตน้ำหนักใน... 8 สัปดาห์ เรามีแผนการลดน้ำหนักพิชิตหุ่นสวยมาให้ทดลองปฏิบัติดู วิธีนี้มีข้อดีตรงที่ได้กินอิ่ม...ไม่ต้องอด...แต่น้ำหนักก็ลดลง ข้อสำคัญ ไม่มีผลเสียต่อสุขภาพของคุณด้วย และเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจ ให้คุณหากางเกงหรือชุดโปรดที่รู้สึกว่าคับเกินไปมาแขวนไว้ เพราะหลังจากจบโปรแกรมคุณจะกลับมาเป็นสาวหุ่นดีในชุดโปรดได้อีกครั้งค่ะ ให้กลับมารับประทานอาหารตามปกติแต่ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงหุ่นเสีย เช่น รับประทานอาหารเย็นดึกเกินไปกินขนมทุกวัน หรือไม่ออกกำลังกายด้วยค่ะ
ตามปฏิทินไทย เดือนเมษายนถือเป็นเดือนแรกของปีหนู ซึ่งน่าจะเป็นฤกษ์งามยามดีที่คุณจะหันมาดูแลน้ำหนักและสุขภาพเสียที ตั้งเป้าวางแผนกันเลยดีกว่า ว่าปีนี้น้ำหนักของคุณจะต้องลดลงเท่าไร
เวลาจะลดหรือควบคุมน้ำหนัก คนส่วนใหญ่มักคิดว่าต้องรับประทานอาหารน้อยๆ อดมื้อเย็น หรือหาตัวช่วยดักอาหารที่กินเข้าไปไม่ให้เปลี่ยนเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งวิธีต่างๆ เหล่านี้ไม่เป็นผลดีต่อร่างกายของคุณเลย
เป้าหมาย : น้ำหนักลดลง 1/2 กิโลกรัม
แผนปฏิบัติการที่ 1 ลดปริมาณอาหารมื้อเย็นลงครึ่งหนึ่ง เช่น จากที่เคยรับประทานข้าว 1 จานให้เหลือแค่ครึ่งจาน แล้วหั่นผักต่างๆ ที่ชอบ เช่น ผักกาดหอม หรือผักสลัด แทนข้าวที่ลดลง
จัดระเบียบตัวเอง ต้องรับประทานอาหารมื้อเย็นก่อน 18.00 น.
เริ่มต้นออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 วัน โดยเดินเร็ว 10 นาที สลับเดินช้า 5 นาที ทำให้ครบ 20 นาที
เป้าหมาย : น้ำหนักลดลง 1 กิโลกรัม
แผนปฏิบัติการที่ 2 พยายามปรับเปลี่ยนเมนูอาหารที่รับประทานอยู่ให้เหมือนหรือคล้ายเมนูต่อไปนี้
มื้อเช้า ขนมปังโอลวีทปิ้ง 2 แผ่น ทาแยมได้ 1 ช้อนชาต่อแผ่น กับน้ำผลไม้ 1 แก้ว
มื้อกลางวัน ข้าวกล้อง 1 ทัพพี (กินข้าวธรรมดาแทนได้) พร้อมกับข้าว 1-2 ชนิด แต่ต้องมีผักเป็นส่วนประกอบด้วย เช่น ผัดผักน้ำมันน้อยๆ 1 จาน แกงจืดผักกาดขาวหมูสับ ต้มยำปลา/กุ้งใส่เห็ด หรือเกาเหลาไม่ใส่น้ำมันกระเทียมเจียว 1 ชาม
มื้อเย็น รับประทานปลา/ไก่ไม่ติดหนัง/เนื้อหมู/เนื้อวัวไม่ติดมัน ประมาณหนึ่งขีดครึ่งหรือเทียบเท่า 1 ฝ่ามือ คู่กับผัก ตัวอย่างเช่น เกาเหลาใส่ผักคะน้า ผักบุ้ง หรือถั่วงอกเยอะๆ สเต๊กปลา/หมู/ไก่ กับผักลวก สลัดผักหรือสลัดพลังงานต่ำ หรือยำต่างๆ เช่น ยำทูน่ากับผักสลัด
ลด (ไม่ใช่งด) ข้าวและแป้งทุกชนิด และควรหลีกเลี่ยงอาหารทอดทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นไก่ทอด หมูทอด หรือแม้แต้ปลาทอด ออกกำลังกาย 5 วัน โดยเดินเร็ว 15 นาที สลับกับเดินปกติ 5 นาที จนครบ 40 นาที
เป้าหมาย: น้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่องอีก 2 กิโลกรัม
แผนปฏิบัติการที่ 3 ดื่มน้ำ 1 แก้วโตผสมน้ำมะนาวครึ่งถึงหนึ่งลูกทุกๆ เช้า และเลือกกินอาหารตามเมนูอาหารดังนี้
มื้อเช้า กินผลไม้ชนิดเดียวกันได้ไม่จำกัดจำนวน แต่พยายามเลือกผลไม้ที่ไม่หวาน
มื้อกลางวัน ให้กินเนื้อสัตว์กับผัก (งดข้าวหรือแป้ง) เช่น ไก่ย่างส้มตำ ปลาย่างซีอิ๊วกับสลัดผักน้ำสลัดญี่ปุ่น หรือสุกี้น้ำรวมมิตรไม่ใส่วุ้นเส้น
มื้อเย็น งดเนื้อสัตว์ เน้นกินข้าวซ้อมมือ 1 ทัพพีกับเมนูผัก เช่น ผัดผัก ผักลวกจิ้มน้ำพริก แกงจืดตำลึง ต้มจับฉ่าย (มันน้อย) ออกกำลังกาย 5 วัน โดยเดินเร็ว 20 นาทีสลับเดินปกติ 5 นาที ทำจนครบ 45 นาที ซิทอัพวันละ 50 ครั้ง
เป้าหมาย : น้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่องอีก 3 กิโลกรัม
แผนปฏิบัติการที่ 4 เมนูสำหรับวันที่ 1-3 กินแต่ผลไม้อย่างเดียวไม่จำกัดจำนวน โดยจะเลือกรับปรทานเป็นผลไม้ชนิดเดียวกันทั้งวันหรือต่างกันไม่เกิน 3 ชนิด หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานมาก เช่น ขนุน ทุเรียน เงาะ ลำไย องุ่น
เมนูสำหรับวันที่ 4-7 มื้อเช้ารับประทานโยเกิร์ตฟรุตสลัด 1 ถ้วย (โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 แก้วกับผลไม้หั่นเป็นชิ้นพอคำ 1 ถ้วย) น้ำผลไท้ 1 แก้ว ส่วนมื้อกลางวันและเย็นให้เลือกทานไก่/ปลา เช่น ปลาย่างขนาดเท่า 1 ฝ่ามือกับน้ำพริกและผักลวก 1 จาน หรือสลัดไก่อบ/ทูน่า/กุ้ง 1 จานกับน้ำสลัดไขมันต่ำ หรือสเต๊กเต้าหู้/ปลา/ไก่ 1 จาน รับประทานกับผักลวก
ออกกำลังกาย 5 วัน โดยเดินเร็ว 20 นาทีสลับเดินช้า 3 นาที ทำจนครบ 45 นาที ซิทอัพวันละ 70-100 ครั้ง
เป้าหมาย : น้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่องอีก 4-5 กิโลกรัม
แผนปฏิบัติการที่ 5 เมนูอาหารเหมือนสัปดาห์ที่ 4-5
ออกกำลังกายโปรแกรมเดียวกับสัปดาห์ที่ 6
ถ้าปฏิบัติตามโปรแกรมนี้ตลอด 8 สัปดาห์ คุณจะเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่และสดใสกว่าเดิม สำหรับคนที่น้ำหนักตัวค่อนข้างเยอะ คุณอาจลดน้ำหนักลงได้ถึง 10.5 กิโลกรัม ส่วนคนที่น้ำหนักเกินเล็กน้อยไม่ต้องกังวลใจไป น้ำหนักของคุณจะลดลงตามเกณฑ์ และถ้าพอใจแล้วก็หยุดได้ก่อนถึง 8 สัปดาห์โดยไม่มีผลเสียหรือโยโย่เอฟเฟ็คท์ภายหลัง
หลังจากจบโปรแกรมแล้ว (ทั้งคนที่ทำครบ 8 สัปดาห์และที่ทำไม่ถึง)
ขอบคุณเกร็ดความรู้จากหนังสือ HEALTH & CUISINE
ขมิ้นชัน : สารพันคุณค่าทั้งทา ทั้งกิน
เรื่องเก่ามาเล่าใหม่...ขมิ้นชัน : สารพันคุณค่าทั้งทา ทั้งกิน มีการศึกษาการใช้ขมิ้นชันรักษาโรคกระเพาะในประเทศไทย (โรงพยาบาลศิริราช) พบว่า ได้ผลดีพอควร สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการของโรคอันเนื่องมาจากความเสื่อมโทรมของประสาทไม่ให้ทรุดลงได้ สำหรับโรคอัลไซเมอร์นั้นมีความสัมพันธ์กับการเกิดแผ่นแป้งในสมองที่เรียกว่า amloidplaques ในสมอง อย่างไรก็ดี นักวิจัยพบว่าขมิ้นสามารถลดแผ่นดังกล่าวลงได้ราวครึ่งหนึ่ง และยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ อีก เช่น ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยต่อสู้การติดเชื้อ และป้องกันโรคหัวใจ สารเคมีในขมิ้นจะช่วยลดอาการอักเสบของเนื้อเยื่อในสมองที่เป็นผลมาจากโรคอัลไซเมอร์ด้วยโดยจะมีประสิทธิภาพเมื่อใช้คู่กับยา ibuprofen มีการค้นพบสรรพคุณใหม่ๆ ของขมิ้นชันอีกมากมาย เช่น การป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด การชลอความแก่ การเป็นสารต้านมะเร็งและเนื้องอกต่างๆ พบว่า การกินอาหารผสมขมิ้นสามารถทำลายเชื้อไวรัสที่ผ่านมาทางอาหารได้ รวมทั้งสามารถป้องกันมะเร็งจากสารก่อมะเร็งต่างๆ และยังมีสรรพคุณในการต้านไวรัส โดยเฉพาะเชื้อ HIV อันเป็นต้นเหตุของโรคเอดส์ ขมิ้นชันจึงเป็นอีกความหวังหนึ่งของผู้ป่วยเอดส์ การใช้ประโยชน์จากขมิ้น
ขมิ้นชัน เป็นสมุนไพรที่ใครๆ ก็รู้จัก เพราะมักจะพบในชีวิตประจำวัน โดยนิยมใช้ปรุงแต่งกลิ่นและรสในอาหารหลายชนิด โดยเฉพาะอาหารทางภาคใต้ เช่น แกงเหลือง แกงไตปลา แกงกะหรี่ ไก่ทอดขมิ้น เป็นต้น นับเป็นความฉลาดของคนใต้ ที่หาวิธีกินขมิ้นในชีวิตประจำวัน เพราะขมิ้นนั้นปัจจุบัน มีงานศึกษาวิจัยพบว่ามีคุณค่าต่อสุขภาพยิ่งนัก คนสมัยก่อนมีการใช้ประโยชน์จากขมิ้นในหลายๆ ด้าน ทั้งเป็นยาภายนอกและยาภายใน ในส่วนของยาภายนอกเชื่อว่าขมิ้นชัน ช่วยรักษาแผล ทำให้แผลไม่เป็นหนอง ช่วยสมานแผล ดังนั้น เวลาที่ก่อนจะบวชเป็นพระนาคต้องปลงผมก่อนอุปสมบท หลังจากโกนผมแล้วเขาจะทาหนังศรีษะด้วยขมิ้น เพื่อรักษาบาดแผลที่อาจจะเกิดจากใบมีดโกน
ขมิ้นยังมีสรรพคุณ ในการรักษาพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ในสมัยที่ยังเล็กๆ ตอนยุงกัดเป็นตุ่มแดง คุณยายมักจะใช้ปูนกินกับหมากแต้ม เพราะต้องการฤทธิ์แก้พิษของขมิ้น ที่ผสมอยู่ในปูนที่กินกับหมาก และฤทธิ์ของปูนที่ช่วยให้ขมิ้นติดผิวได้ดีขึ้น (ปูนกินกับหมากของคนโบราณ ได้จากการเผาเปลือกหอยจนร้อนจัด สามารถบดเป็นฝุ่นละเอียดสีขาว แล้วเอาไปผสมกับขมิ้นจะให้สีส้ม หรือเรียกเป็นสีเฉพาะว่า สีปูน)
นอกจากนี้ยังนิยมใช้ขมิ้นเป็นเครื่องสำอาง คนในแถบตอนใต้ของเอเชีย และแถบตะวันออกไกล ใช้ขมิ้นทาผิวหน้าทำให้ผิวหน้านุ่มนวล คนมาเลเซียและคนไทยสมัยก่อนจะใช้ขมิ้นในการอาบน้ำ ทำให้ผิวผ่องยิ่งขึ้น วิธีการอาบน้ำด้วยขมิ้นนั้น จะทาขมิ้นหมักไว้ที่ผิวหนังสักพัก แล้วจึงขัดออกด้วยส้มมะขามเปียก นอกจากทำให้ผิวหนังนุ่มนวลแล้ว ขมิ้นยังมีสรรพคุณในการป้องกันการงอกของขน ผู้หญิงอินเดียจึงใช้ขมิ้นทาผิวหนัง เพื่อป้องกันไม่ให้ขนงอก คนพม่าเชื่อว่าถ้าใช้ขมิ้นผสมสมุนไพร ที่ชื่อทาคาน่า ทาผิวเด็กสาวตั้งแต่ยังเล็กๆ จะทำให้เนื้อผิวละเอียด จนมีคำกล่าวในบรรดาชายไทยว่าสาวจะสวยต้อง "ผิวพม่า นัยน์ตาแขก"
ส่วนในการใช้เป็นยารับประทาน เชื่อว่าขมิ้นชันมีสรรพคุณในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย มีสรรพคุณในการช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ช่วยย่อยอาหาร มีสรรพคุณในการบำรุงร่างกายและช่วยบำรุงตับ รักษาระบบทางเดินหายใจที่ผิดปกติ หืด ไอ เวียนศรีษะ รักษาอาการปวดและอักเสบเนื่องจากไขข้ออักเสบ เป็นต้น ปัจจุบันมีการศึกษาเพื่อพิสูจน์สรรพคุณของขมิ้น ตามการใช้แบบโบราณ ก็พบว่ามีสรรพคุณมากมายตามที่เคยใช้กันมา เช่น ขมิ้นชันมีสรรพคุณทำให้แผลหายเร็วขึ้น มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ลดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เพิ่มภูมิคุ้นกันให้แก่ร่างกาย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง มีฤทธิ์ขับน้ำดีช่วยในการย่อยและป้องกันไม่ให้เป็นนิ่วในถุงน้ำดี มีฤทธิ์ขับลม
ขมิ้นชันยังมีคุณสมบัติ ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและลดปฏิกิริยาการแพ้ คนที่เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อยๆ สมควรกินอาหารใต้ที่ใส่ขมิ้นทุกวันจะได้แข็งแรง ตอนนี้สงสารหมอโรคภูมิแพ้ เพราะคนเป็นกันมากเหลือเกินและเราต้องขาดดุลยารักษาโรคภูมิแพ้ ที่รักษาไม่หายสักที่ปีละมากมายมหาศาล หันมาลองกินขมิ้นชันกันดีกว่า
หากจะหันกลับมากินขมิ้นชันกันนั้น ควรเลือกขมิ้นชันที่ได้คุณภาพ คือ ขมิ้นชันต้องมีอายุอย่างน้อย 9-12 เดือน จึงสามารถขุดเหง้ามาทำยาได้ และต้องไม่เก็บไว้นานเกินไป จนน้ำมันหอมระเหยหายหมด และต้องเก็บให้พ้นแสง
1. ตัดแง่งขมิ้นมาพอสมควร นำมาล้างให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำเจือน้ำสุกเท่าตัวนำมาดื่มครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 - 4 ครั้ง หรือเติมเกลือเล็กน้อย เพื่อใช้รักษาอาการท้องร่วง บิด
2. ใช้ผงขมิ้น 1 ช้อนโต๊ะ นำมันผสมกับน้ำมันมะพร้าว 2 - 3 ช้อนโต๊ะ เคี่ยวด้วยไฟอ่อน จนได้น้ำมันสีเหลือง แล้วนำมาใช้ใส่แผล หรือนำมาพอกบริเวณ ที่ปวดเมื่อย หรือเคล็ดได้
3. นำผงขมิ้นมาผสมน้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อม ปั้นเป็นลูกกลอน ขนาดปลายนิ้วก้อย รับประทาน 2 - 3 เม็ด หลังอาหาร และก่อนนอน เพื่อรักษา อาการโรคกระเพาะ ท้องขึ้น
4. นำขมิ้นแห้ง 25 กรัม + ว่านนางคำ 200 กรัม + ไพล 50 กรัม + ดินสอพอง 1000 กรัม นำมาบดผสมกัน ใช้พอกหน้า และตัวเพื่อบำรุงผิวได้ (ถ้าผิวมันใช้ผสมกับน้ำมะกรูดเผาไฟ ถ้าผิวแห้ง ใช้ผสมกับน้ำผึ้ง หรือ นมสด) ควรพอกประมาณ 5 - 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ตามด้วยน้ำเย็น สลับกัน
5. ใช้ผงขมิ้นละลายน้ำทาบ่อย ๆตรงบริเวณที่คัน หรือ คันจากยุงกัดมดกัด
6. ทำครีมสมุนไพร เพื่อใช้แทนสบู่ และลดรอยเหี่ยวย่นและจุดด่างดำ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้า โดยนำมะขามเปียก 300 กรัมมาแช่น้ำและบีบน้ำแล้วนำมากรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วเอาตั้งใส่หม้อเคลือบตั้งไฟอ่อน ๆ เคี่ยวให้แห้งจากนั้น เติมนมสด 200 กรัม + น้ำผึ้ง 50 กรัม + ขมิ้นผง 1/2 ช้อนชา + ว่านนางคำผง 1/2 ช้อนชา คนให้แห้ง ยกลง ก็โดยชะโลมน้ำที่หน้าพอเปียก ป้ายครีมเล็กน้อย ลูบไล้จนทั่วหน้า ทิ้งไว้สักครู่ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
7. วิธีทำยาทาผิว ใช้เหง้าขมิ้นสดมาหั่นบาง ๆ แล้วตากแห้ง นำมาบดเป็นผงให้ละเอียด เวลาจะใช้ให้นำมาผสมกับน้ำคนให้เข้ากัน ทาตามเนื้อตัวหรือใบหน้า หรือผสมกับน้ำนมทาตัวเอาไว้ก่อนจะอาบน้ำทิ้งไว้ 10 - 20 นาที เป็นอย่างน้อย แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรือตามด้วยการอาบน้ำชำระร่างกาย ผลที่ได้รับคือ ช่วยให้ผิวนุ่มนวลเนียน แก้โรคผดผื่นคัน หรือจุดด่างดำบนร่างกายให้หายไป
8. วิธีทำครีมขัดและพอกหน้า นำขมิ้นผงผสมกับน้ำนม หรือน้ำผึ้ง จากนั้นล้างหน้า ให้สะอาดแล้วนำขมิ้นที่เตรียมไว้ขัดใบหน้าเบา ๆ จนทั่วพอกไว้อย่างนั้นประมาณ 5 นาที ล้างออกได้ด้วยน้ำอุ่น ๆ ผลที่ได้รับคือ ช่วยให้สิ้วเสี้ยนหลุดสมานผิวและรูขุมขน ช่วยรักษาแผลที่เกิดจากสิวอักเสบ ไม่ให้เกิดเป็นแผลเป็น ทำให้ผิวหน้า นุ่ม
และเนียน
ปัจจุบันขมิ้นชันแคปซูล อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ และเป็นยาในงานสาธารณสุขมูลฐาน จึงสามารถที่จะเบิกค่ายาจากระบบประกันได้ และแคปซูลขมิ้นชั้นยังสามารถวางจำหน่ายได้ในร้านค้าทั่วไป หากแพทย์ไทย คนไทยช่วยกันใช้ผลิตภัณฑ์จากขมิ้นชัน สุขภาพ เศรษฐกิจ ของคนไทย ของประเทศไทยก็คงจะดีขึ้นอย่างแน่นอน